วันพุธที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2557

บทความทางวิชาการ

วิเคราะห์บทบาทการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)
An  Analysis  of   the  Roles   of   Pradhammakosajarn  (Buddhadasa Bhikkhu) on the Dissemination of  Buddhism
พระไพโรจน์  อตุโล (สมหมาย)
                                                                                                                              สาขาวิชาพระพุทธศาสนา
บทคัดย่อ
                     งานวิจัยฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์ ๑) เพื่อศึกษาประวัติการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
ของพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) ๒) เพื่อศึกษาบทบาทในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
ของพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) ๓) เพื่อศึกษาผลกระทบของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) ต่อสังคมไทย โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการศึกษาข้อมูล  เอกสาร และการสัมภาษณ์ประกอบตามขอบเขตของการวิจัยที่กำหนดไว้ ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาจะเป็นประโยชน์ในวิชาการและคณะสงฆ์ไทย 
ของพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) ๒) เพื่อศึกษาบทบาทในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
ของพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) ๓) เพื่อศึกษาผลกระทบของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) ต่อสังคมไทย โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการศึกษาข้อมูล  เอกสาร และการสัมภาษณ์ประกอบตามขอบเขตของการวิจัยที่กำหนดไว้ ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาจะเป็นประโยชน์ในวิชาการและคณะสงฆ์ไทย
               
                    ผลการวิจัยพบว่า
                          ๑) ประวัติการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)
จำแนกเป็น ๓ ระยะ คือ  ๑) การเผยแผ่พระพุทธศาสนาระยะต้น (ระหว่าง  พ.ศ.๒๔๖๙ ๒๔๘๕) พบว่าพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) มีบทบาทในการเป็นครูสอนพระปริยัติธรรมที่วัด
พระบรมธาตุไชยา และเขียนหนังสือตามรอยพระอรหันต์และออกหนังสือพิมพ์พุทธสาสนา
รายตรีมาส  ปาฐกถา  เทศนา  ๒) การเผยแผ่พระพุทธศาสนาระยะกลาง (ระหว่าง  พ.ศ.๒๔๘๖       ๒๕๒๙) พบว่า พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) ได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยการเทศนาและปาฐกถาธรรมตามสถานที่ต่างๆ และมีการเขียนหนังสือความอัศจรรย์บางประการ
ของพระนิพพาน  พุทธธรรมกับสันติภาพ  พุทธธรรมกับเจตนารมณ์แห่งประชาธิปไตย  ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม  จิตวิทยาแบบพุทธ ๓) การเผยแผ่พระพุทธศาสนาระยะปลาย (ระหว่าง  พ.ศ.๒๕๓๐
  ๒๕๓๖) พบว่า พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) ได้เขียนหนังสือเรื่อง ภาษาคน - ภาษาธรรม  อานาปานสติฉบับสมบูรณ์ และมาฆบูชาเทศนา
พระบรมธาตุไชยา และเขียนหนังสือตามรอยพระอรหันต์และออกหนังสือพิมพ์พุทธสาสนา
รายตรีมาส  ปาฐกถา  เทศนา  ๒) การเผยแผ่พระพุทธศาสนาระยะกลาง (ระหว่าง  พ.ศ.๒๔๘๖       ๒๕๒๙) พบว่า พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) ได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยการเทศนาและปาฐกถาธรรมตามสถานที่ต่างๆ และมีการเขียนหนังสือความอัศจรรย์บางประการ
ของพระนิพพาน  พุทธธรรมกับสันติภาพ  พุทธธรรมกับเจตนารมณ์แห่งประชาธิปไตย  ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม  จิตวิทยาแบบพุทธ ๓) การเผยแผ่พระพุทธศาสนาระยะปลาย (ระหว่าง  พ.ศ.๒๕๓๐
ของพระนิพพาน  พุทธธรรมกับสันติภาพ  พุทธธรรมกับเจตนารมณ์แห่งประชาธิปไตย  ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม  จิตวิทยาแบบพุทธ ๓) การเผยแผ่พระพุทธศาสนาระยะปลาย (ระหว่าง  พ.ศ.๒๕๓๐
  ๒๕๓๖) พบว่า พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) ได้เขียนหนังสือเรื่อง ภาษาคน - ภาษาธรรม  อานาปานสติฉบับสมบูรณ์ และมาฆบูชาเทศนา
                        ๒)  บทบาทในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) พบว่า พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) ได้มีการปฏิบัติตนเป็นต้นแบบในการปฏิบัติธรรม  ด้วยการบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง และสอนให้พุทธบริษัทได้ปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง  
และเป็นต้นแบบในการศึกษา  มีการศึกษาทางคดีโลกและคดีทางธรรม  มีความอุตสาหะอดทนศึกษาค้นคว้าหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนาอย่างลุ่มลึกแล้วออกมาเผยแผ่ให้พุทธบริษัทศึกษาเรียนรู้ประพฤติปฏิบัติ  และมีการเผยแผ่ด้วย
และเป็นต้นแบบในการศึกษา  มีการศึกษาทางคดีโลกและคดีทางธรรม  มีความอุตสาหะอดทนศึกษาค้นคว้าหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนาอย่างลุ่มลึกแล้วออกมาเผยแผ่ให้พุทธบริษัทศึกษาเรียนรู้ประพฤติปฏิบัติ  และมีการเผยแผ่ด้วยเทคนิควิธีการ, สื่อ, เอกสารและสิ่งพิมพ์ที่หลากหลาย เช่น ทางวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์, ใช้สื่อศิลปะ, สร้างโรงมหรสพทางวิญญาณ  เป็นต้น
                        ๓) ผลกระทบด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมโกศาจารย์(พุทธทาสภิกขุ) ต่อสังคมไทย  พบว่า  มีผลกระทบต่อสังคมไทยหลายด้าน คือ ๑) ผลกระทบด้านการส่งเสริมพระพุทธศาสนา โดยมีผลกระทบด้านศาสนบุคคล ด้านศาสนธรรม ด้านศาสนวัตถุ ด้านศาสนพิธี  ๒) ผลกระทบด้านการศึกษาโดยรณรงค์ให้นำหลักคุณธรรม ศีลธรรม หลักจริยธรรมกลับเข้าสู่สถาบันการศึกษาให้ได้เรียนรู้ประพฤติปฏิบัติอย่างจริงจัง  ๓) ผลกระทบด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  โดยให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม การสร้างถาวรวัตถุให้กลมกลืนกับธรรมชาติการอนุรักษ์ต้นไม้และอนุรักษ์สัตว์ป่าทุกชนิดในบริเวณสวนโมกขพลารามและกำหนดให้ผู้ที่มาปฏิบัติธรรมต้องให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วย
                    คำสำคัญ : วิเคราะห์บทบาท, พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ), การเผยแผ่พระพุทธศาสนา,
ABSTRACT
        The  objectives  of  this  thesis  were  as  follows  1) To  study  the  history  on  Buddhism  dissemination  of  Phradhammakosajarn (Buddhadasa Bhikkhu) 2) To  study   the  Role on Buddhism dissemination of Phradhammakosajarn (Buddhadasa Bhikkhu) 3) To  study  the   feedback  on  Buddhism  dissemination  of  Phradhammakosajarn (Buddhadasa Bhikkhu) towards  Thai  society,  by  qualitative  research  to  find  out  data  in  terms  of  documents  and  interview  according  to  the  scope  of  research  which  has  given, the  data  from  study  will  be  utilized  in  arademic  field  and  Thai  Sangha.
                        The  findings  were  as  follows.
                         ๑)The  history  of  Buddhism  dissemination  of  Phradhammakosajarn (Buddhadasa Bhikkhu) can be devided into three periods as follows  1) The  primary  Buddhism  dissemination (during  B.E. 2469 – 2485) found  that  he  was  a  Dhamma  teacher  in  Phrapariyattidamma (Dhamma Courses) and Wat Phraborommatatuchaiya and written the book title on  
“ Tamruey -
“ Tamruey - Phraarahan” and  thee  months  Buddhism  news, speech, sermon.  2) Buddhism dissemination  in  the  middle  time (during  B.E. 2486 – 2529) found  that  he  was  disseminated  Buddhism  By  Dhamma  teaching  and  Dhamma  speech  in  many  places  and  written  the  book  title  on  “ The  wonder  of  Nippana”, Buddha  Dhamma  and  peacefulness,  Buddha  Dhamma  purposive  of  Democracy, the  mountain  of  Buddhist  way, Buddhistic  Psychology. 3) Buddhism dissemination  in  the  end (during  B.E. 2530 –2536) found  that  he  had  written  the  book  title  on “common  language  and  Dhamma language, Anapanasati (completed  volumeand  Maga Puja Desana”.
                        ๒) The  role  in  Buddhism dissemination  of  Phradhammakosajarn (Buddhadasa Bhikkhu) found  that  he  was  a  Dhamma  practitioner  as  origination  for Dhamma  practice  by  real  ordination, real  learning,  real  practice  and  teach  Buddhist  company  for  seriously  practice  and  to  be  originated  in  Dhamma  learning, to  have  secular  and  religious  learning, to  have  endurance  to  study  research  on   Buddhist  principle  as  deeply  after  that  he  has  disseminated  to  Buddhist  company  for  learning  and  practicing  and  to  have  dissemination  by  lots  of  techniques  and  methods  i.e.  multi-media, documents, and  variety  of  publishing  news  such  as  radio,  television,  art  media,  spiritual  entertainment  hall  etc.
        ๓)The feedback on  Buddhism dissemination  of  Phradhammakosajarn (Buddhadasa Bhikkhu) towards  Thai  society  found  that  there  are  varieties  of  aspects  as  following  
1) The  feedback  on  Buddhism dissemination  especially  feedback  on  religious  personel,  religious  teaching,  religious  materials,  religious  ritual  2) The  feedback  on  education  by  campaign  to  apply  the  rituals  principle, moral, ethical  back  to  educational  institutes  for  learning  and  practicing  as  seriously  3) The  feedback  on  natural  resource  and  environment  conservation  especially  focus  on  environment,  to  build  any  dwelling  must  be  in  harmony  with  nature, to  be  conservation  on  forest  and  all  wild  life  in  the  area  of  Suanmokkhapalaram  and  to  determine  the  Dhamma  practitioners  must  be  regarded  with  environment  conservation  in  any  way.
          
.บทนำ
                พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)  ผู้ก่อตั้งและพัฒนาสวนโมกขพลาราม
ที่อำเภอไชยา  จังหวัดสุราษฎร์ธานี  ให้เป็นสถานที่ที่มีบทบาทในการปฏิบัติธรรมและเผยแผ่พระพุทธศาสนา  เป็นแหล่งค้นคว้าและเผยแผ่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่มีชื่อเสียงทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ  ท่านได้กล่าวถึงเหตุที่ก่อตั้งไว้ว่า  การตั้งสวนโมกขพลารามไม่มีอะไรมากเพียงแต่มองเห็นว่าควรปรับปรุงการปฏิบัติธรรมเท่านั้น  โดยการกลับไปหาของเดิมว่าการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นอย่างไร  เพื่อรื้อฟื้นพระพุทธศาสนากลับมาสู่สภาพเดิมเหมือนครั้งสมัยพุทธกาล  และการเกิดสวนโมกขพลารามถือว่าเป็นนิมิตหมายแห่งการเปลี่ยนแปลงยุคใหม่  เพื่อการแก้ไขสิ่งต่างๆ  ให้ดีขึ้นเท่าที่เราพึงทำได้ คนส่วนใหญ่จึงรู้จักสวนโมกขพลารามในนาม
ของพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)  เพราะเป็นผู้สร้างสวนโมกขพลารามและพัฒนาบทบาทของสวนโมกขพลารามมาตลอด ซึ่งท่านได้สร้างคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อสังคมไทยและแก่โลก 
ของพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)  เพราะเป็นผู้สร้างสวนโมกขพลารามและพัฒนาบทบาทของสวนโมกขพลารามมาตลอด ซึ่งท่านได้สร้างคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อสังคมไทยและแก่โลก 
                        พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)  ได้สร้างคุณประโยชน์ไว้ในพระพุทธศาสนามากมาย  ผลงานจากการบรรยายธรรมและการเผยแผ่ของพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)  ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างประเทศ  เช่น  ภาษาอังกฤษ  ฝรั่งเศส  เยอรมัน  จีน  ญี่ปุ่น  ลาว 
ศรีลังกา  ทิเบต  โดยเฉพาะส่วนที่เป็นภาษาอังกฤษ  มีมากกว่า  ๒๐  เรื่อง  เช่น  คู่มือมนุษย์ 
ภาษาคน  - ภาษาธรรม  วิถีแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม  ได้ถูกนำไปตีพิมพ์ที่สำนักพิมพ์  Westminster  ประเทศสหรัฐอเมริกา และหนังสือเรื่อง  แก่นพุทธศาสน์  ที่พระธรรมโกศาจารย์ 
(พุทธทาสภิกขุ)  ได้แสดงปาฐกถาในโอกาสพิเศษ  ณ  ชุมนุมศึกษาพุทธธรรม (ศิริราช)  ในอุปการะของคณะแพทย์ศาสตร์และศิริราชพยาบาล  มหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์  เมื่อวันที่  ๑๗  ธันวาคม  พ.ศ. ๒๕๐๔  ได้รับรางวัลชนะเลิศ  หนังสือดีประจำปี  ๒๕๐๘  จากองค์การยูเนสโก  
แห่งสหประชาชาติ  พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)  เป็นผู้สร้างความเจริญก้าวหน้าทางวัฒนธรรมและส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างประเทศ  international  understanding  ที่สำคัญ  คือ  เป็นไปเพื่อสันติภาพของโลก  จึงได้มีคำประกาศเกียรติคุณยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้
พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)  เป็นบุคคลสำคัญของโลก     
(พุทธทาสภิกขุ)  ได้แสดงปาฐกถาในโอกาสพิเศษ  ณ  ชุมนุมศึกษาพุทธธรรม (ศิริราช)  ในอุปการะของคณะแพทย์ศาสตร์และศิริราชพยาบาล  มหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์  เมื่อวันที่  ๑๗  ธันวาคม  พ.ศ. ๒๕๐๔  ได้รับรางวัลชนะเลิศ  หนังสือดีประจำปี  ๒๕๐๘  จากองค์การยูเนสโก  
แห่งสหประชาชาติ  พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)  เป็นผู้สร้างความเจริญก้าวหน้าทางวัฒนธรรมและส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างประเทศ 
แห่งสหประชาชาติ  พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)  เป็นผู้สร้างความเจริญก้าวหน้าทางวัฒนธรรมและส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างประเทศ  international  understanding  ที่สำคัญ  คือ  เป็นไปเพื่อสันติภาพของโลก  จึงได้มีคำประกาศเกียรติคุณยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้
พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)  เป็นบุคคลสำคัญของโลก
พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)  เป็นบุคคลสำคัญของโลก     
                        จากความเป็นมาและความสำคัญที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเหตุผลให้ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะวิจัยเกี่ยวกับ  บทบาทการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)  
ผลของการวิจัยครั้งนี้จะช่วยให้บทบาทในด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)  เป็นที่รู้จักกันเด่นชัดขึ้นทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อคณะสงฆ์โดยส่วนรวมในการนำผลการวิจัยไปปรับใช้ให้เข้ากับยุคสมัยและจะเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  ทั้งภาครัฐและเอกชน 
ผลของการวิจัยครั้งนี้จะช่วยให้บทบาทในด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)  เป็นที่รู้จักกันเด่นชัดขึ้นทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อคณะสงฆ์โดยส่วนรวมในการนำผลการวิจัยไปปรับใช้ให้เข้ากับยุคสมัยและจะเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  ทั้งภาครัฐและเอกชน 
๒  วัตถุประสงค์ของการวิจัย
                    ๑. เพื่อศึกษาประวัติการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)   
                    ๒.เพื่อศึกษาบทบาทในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมโกศาจารย์ 
(พุทธทาสภิกขุ) 
(พุทธทาสภิกขุ) 
                    ๓. เพื่อศึกษาผลกระทบของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมโกศาจารย์
(พุทธทาสภิกขุ) ต่อสังคมไทย
๓.วิธีดำเนินการวิจัย         
                        การวิจัยเรื่อง  วิเคราะห์บทบาทการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)  เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research)  โดยผู้วิจัยใช้วิธีการศึกษาวิเคราะห์จากเอกสาร  เทปการบรรยายธรรมของพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)  งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และการสัมภาษณ์บุคคลต่างๆ  ซึ่งผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลทั้งแหล่งปฐมภูมิ (Primary Data)  และแหล่งข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Source)  แล้วเสนอการศึกษาวิเคราะห์โดยการพรรณนาวิเคราะห์ 
๔. สรุปผลการวิจัย
                      ๑. ประวัติการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)
                        สามารถจำแนกได้เป็น ๓ ระยะ คือ ประวัติการเผยแผ่พระพุทธศาสนาระยะต้น (ระหว่าง  พ.ศ.๒๔๖๙ ๒๔๘๕) ผู้วิจัยจำแนกไว้เป็น ๒ ช่วง คือ ช่วงอุปสมบทใหม่  ได้เรียนนักธรรมที่วัดเหนือได้แสดงพระธรรมเทศนาทุกวันให้พุทธศาสนิกชนได้ฟัง  และช่วงศึกษาพระปริยัติธรรมกรุงเทพมหานครสามารถสอบเปรียญธรรม ๓ ประโยคและช่วงกลับมาอยู่สวนโมกข์เก่า (วัดร้างตระพังจิก) จึงได้เขียนหนังสือเรื่องตามรอยพระอรหันต์เพื่อนำมาตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์พระพุทธสาสนารายตรีมาส  ประวัติการเผยแผ่พระพุทธศาสนาระยะกลาง (ระหว่าง  พ.ศ.๒๔๘๖ ๒๕๒๙) ผู้วิจัยจำแนกไว้เป็น ๒ ช่วง คือ ช่วงสร้างสวนโมกข์ใหม่  ได้พัฒนาสวนโมกข์ให้เป็นแหล่งของการปฏิบัติธรรมโดยจัดสถานที่ให้เหมาะสม และช่วงบทบาทรุ่งเรืองของสวนโมกข์      ได้พัฒนาสวนโมกข์โดยการให้มีการสร้างโรงมหรสพทางวิญญาณเพื่อเป็นสื่อการสอนธรรมจึงได้นำภาพปริศนาธรรมพร้อมด้วยพุทธประวัติยุคแรกของโลกมาอธิบาย ส่วนการเผยแผ่พระพุทธศาสนาระยะปลาย (ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๓๐ ๒๕๓๖) ผู้วิจัยจำแนกไว้เป็น ๒ ช่วง คือ ช่วงก่อนอาพาธ ได้ยกสวนโมกข์นานาชาติที่สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช และช่วงบั้นปลายชีวิต ได้บรรยายธรรมประจำวันเสาร์ ซึ่งจะมีการแบ่งเป็นภาคของการเทศนาอันประกอบด้วย ภาควิสาขบูชา ภาคมาฆบูชา  และภาคอาสาฬหบูชา    
                        ๒.  บทบาทในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)
                       สามารถจำแนกได้เป็น ๓ ประเด็น คือ การปฏิบัติตนเป็นต้นแบบ โดยยึดหลักการทำงาน คือ การปฏิบัติธรรม   การเป็นต้นแบบในการสวดมนต์ภาวนา โดยได้นำบทสวดมนต์มารวบรวมและนำแปลให้เข้าใจง่ายจนกลายเป็นบทสวดมนต์แปลฉบับสวนโมกข์และ            การเป็นต้นแบบในการศึกษา ได้เป็นต้นแบบในเรื่องการศึกษาทั้งการศึกษาทางโลกและการศึกษาทางธรรม   
                        ๓.  การเผยแผ่ด้วยเทคนิควิธีการและสื่อเอกสารสิ่งพิมพ์
                        สามารถจำแนกได้เป็น ๔ ช่วง คือ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยการเที่ยวสั่งสอน โดยได้มีหน่วยงานที่ได้ทำหน้าที่เป็นนักเผยแผ่ธรรมเคลื่อนที่  การเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยการพูด ได้มีการจัดกิจกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนารวมทั้งได้มี การสนทนาธรรม  การแสดงธรรม การเผยแผ่พระพุทธศาสนาทางด้านสื่อวิทยุกระจายเสียง โดยดำเนินการตั้งแต่เมื่อปี  ๒๕๐๒ ที่ศูนย์ประชาสัมพันธ์เขต ๗ จังหวัดนนทบุรีได้แสดงไปออกอากาศเป็นประจำทุกวันเสาร์และการเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยสื่อศิลปะและเอกสารสิ่งพิมพ์  ได้นำภาพที่เป็นปริศนาธรรมไปลงในหนังสือพิมพ์พระพุทธสาสนารายตรีมาส
                        ๔. การเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยกลุ่มบุคคล
                        สามารถจำแนกได้เป็น ๔ ช่วง คือ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาแก่ชาวไทย  มีการอบรมทุกวันที่ ๒๐-๒๖ ของทุกเดือนเพื่อให้คนไทยเข้าใจศาสนาพุทธอย่างถูกต้อง การเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามโครงการขององค์กรประกอบด้วยการอบรมระยะสั้นและการอบรมระยะยาวการเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามโครงการของพระธรรมทูตเป็นโครงการเผยแผ่พระพุทธศาสนาออกไปทั่วโลกจึงมีตัวแทนการเผยแผ่ศาสนาออกไปประสานความเข้าใจและการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแก่ชาวต่างประเทศได้มีการอบรมทุกวันที่  ๑-๑๐  ของทุกเดือน   
                        ๕.  ผลกระทบจากบทบาทของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมโกศาจารย์  
(พุทธทาสภิกขุ) ต่อสังคมไทย
                        สามารถจำแนกได้เป็น ๔ ด้าน คือ  ผลกระทบด้านการส่งเสริมพระพุทธศาสนาประกอบด้วยผลกระทบด้านศาสนบุคคล  เป็นผู้สามารถนำธรรมะมาตีความได้อย่างลึกซึ้งจนทำให้ผู้ฟังได้เข้าใจธรรมะที่ง่าย  ผลกระทบด้านศาสนธรรม  โดยได้นำเรื่องปฏิจจสมุปบาท  คือ สิ่งที่อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น มาทำความเข้าใจให้มองเห็นชัดในการเกิดทุกข์และดับทุกข์ซึ่งปฏิบัติได้ในปัจจุบันไม่ต้องรอชาติหน้า  ผลกระทบด้านศาสนวัตถุ    เป็นผู้สร้างสรรค์ ศิลปะที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นการอนุรักษ์จิตรกรรมเกี่ยวกับปริศนาธรรมและ ได้ประยุกต์โดยการใช้ปัญญาไม่ว่าจะเป็นพิธีบำเพ็ญกุศล  พิธีทำบุญ  พิธีถวายทาน และพิธีเบ็ดเตล็ด  และมีประเพณีวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา  แต่ต้องทำให้เหมาะสม ไม่ยึดมากจนเกินไป
                    ๖.ผลกระทบด้านแนวคิดทางการศึกษา
                    สามารถจำแนกได้เป็น ๓ ด้าน คือ ผลกระทบด้านแนวคิดทางการศึกษา ได้เสนอแนวคิดในการจัดการศึกษาที่สมบูรณ์แบบโดยเน้นให้ผู้ศึกษามี ๕ ดี  ผลกระทบด้านการศึกษาฝ่ายโลกิยะ  เป็นการศึกษาที่แก้ปัญหาของความทุกข์ได้ชั่วคราวเพราะเป็นการศึกษาอย่างชาวบ้านที่ให้ความสำคัญกับความเชื่อทางด้านไสยศาสตร์ และผลกระทบด้านการศึกษาฝ่ายโลกุตตระ ต้องการเน้นให้คนเข้าถึงธรรมระดับโลกุตตระในชาตินี้ไม่ต้องรอต่อไปชาติหน้า   
                        ๗.ผลกระทบด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
                        การอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมตั้งแต่สมัยสร้างสวนโมกขพลาราม  ซึ่งได้มีการสร้างถาวรวัตถุให้กลมกลืนกับธรรมชาติมากที่สุด  โดยสร้างอุโบสถที่พื้นดินตามธรรมชาติและมีการอนุรักษ์ต้นไม้โดยชี้ให้เห็นคุณค่าและโทษที่จะได้รับจากการไม่มีป่าไม้รวมทั้งสัตว์ป่าทุกชนิด 
๕. ข้อเสนอแนะ
     ๑. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
                        จากการศึกษาบทบาทในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมโกศาจารย์
(พุทธทาสภิกขุ) ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายดังต่อไปนี้
                        ๑.   การเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) ซึ่งถือเป็นบุคคลสำคัญของโลก  ทางสถาบันทางการศึกษาหรือกระทรวงศึกษาธิการควรมีนโยบายให้บรรจุประวัติการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของท่านลงใน หลักสูตรการเรียนการสอนในโรงเรียน            เพื่อนักเรียนจะได้เรียนรู้ประวัติของบุคคลระดับโลก
                        ๒.  การเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยการปฏิบัติตนเป็นต้นแบบของพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) ซึ่งถือว่าหลักการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเน้นกระบวนการของไตรสิกขาเจาะลึกด้วยปัญญา  สั่งสอนพุทธศาสนิกชนในเรื่องพุทธที่แท้จริงควรที่คณะสงฆ์ไทยเอาเป็นแบบอย่าง
                        ๓.  หลักคำสอนของพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) ทางสถาบันการศึกษา     ควรที่ส่งเสริมให้นักเรียนนักศึกษาได้เรียนหลักคำสอนที่ท่านได้เขียนเอาไว้อย่างเข้าใจแล้วไปปฏิบัติในการดำเนินชีวิตเพื่อให้เกิดความสงบแก่จิตใจด้วย
                        ๔. การเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)
มีผลกระทบทางการศึกษาทั้งแนวคิดทางการศึกษา ได้วิจารณ์เรื่องของการศึกษาปัจจุบันเปรียบเสมือนหมาหางด้วน  ดังนั้นทางกระทรวงศึกษาธิการต้องเติมแต้มให้กับหมาที่หางด้วนด้วย หมายถึง ต้องจัดการศึกษาทั้ง ๒ ด้านด้วยกัน คือ ทั้งด้านวิชาชีพให้มีความรู้ความสามารถอย่างมีประสิทธิภาพส่วนด้านจิตวิญญาณ  จะต้องให้นักเรียนศึกษาอย่างมีทั้งคุณภาพมีศีลธรรม
และจริยธรรมในการดำเนินชีวิตที่ดี
                        ๕.  การเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)                     มีผลกระทบด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมธรรมชาติอย่างดียิ่ง  ทางคณะสงฆ์ไทยทุกวัดควรให้ความสำคัญเรื่องธรรมชาติให้มากที่สุด  ส่วนภาครัฐและภาคเอกชนจะต้องให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกับพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) ที่ทำเป็นแบบอย่างเอาไว้
        ๒.  ข้อเสนอแนะเพื่อการทำวิจัยครั้งต่อไป
                        จากการวิจัยบทบาทการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมโกศาจารย์
(พุทธทาสภิกขุ) ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะในการทำวิจัยดังต่อไปนี้
                        ๒.๑  ควรมีการศึกษาผลกระทบต่อแนวคิดทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม
จากการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)  
                        ๒.๒  ควรมีการศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับการศึกษาของพระธรรมโกศาจารย์
(พุทธทาสภิกขุ) เปรียบเทียบกับแนวคิดทางการศึกษาหรือนักปราชญ์กับท่านอื่น
                        ๒.๓  ควรมีการศึกษาเปรียบเทียบการปฏิบัติอานาปานสติของสวนโมกขพลารามกับการปฏิบัติธรรมกับสำนักวิปัสสนากัมมัฏฐานอื่นๆ
                        ๒.๔  ควรมีการศึกษาผลสัมฤทธิ์ของชาวพุทธที่ได้จากการปฏิบัติธรรมจาก               สวนโมกขพลาราม  อำเภอไชยา  จังหวัดสุราษฎร์ธานี

บรรณานุกรม
                        ก.  เอกสารชั้นปฐมภูมิ
ข้อมูลจากเทปบรรยายธรรมของพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) และการสัมภาษณ์บุคคล
ที่กำหนดไว้
                        ข.  เอกสารชั้นทุติยภูมิ
(๑)  หนังสือ
เนาวรัตน์  พงศ์ไพบูลย์.  แผ่วผ่านธารน้ำไหล.  กรุงเทพมหานคร : เกี้ยว - เกล้า  พิมพการ,  ๒๕๓๗.
ประกาศ  วัชราภรณ์.  พุทธทาสประทีปแห่งสวนโมกข์.  กรุงเทพมหานคร : เกี้ยว เกล้า  พิมพการ, 
                        ๒๕๒๐.     
ประเวศ  วะสี.  สวนโมกข์  ธรรมกาย  สันติอโศก.  กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์หมอชาวบ้าน,
        ๒๕๓๐.
พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร  ธมฺมจิตฺโต).  พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) บุคคลสำคัญ
         ของโลก.  กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์  หจก.  เอมี  เทรดดิ้ง,  ๒๕๔๙.
พระประชา  ปสนฺนธมฺโม.  เล่าไว้เมื่อวัยสนทยา.  กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมล
                        คีมทอง, ๒๕๓๕.  
พุทธทาสภิกขุ.  พุทธทาส  สวนโมกขพลาราม  กำลังแห่งการหลุดพ้น. นนทบุรี : ภาพพิมพ์,
        ๒๕๓๘.
(๒)  เอกสารและบทความต่าง ๆ
จินดา  จันทร์แก้ว.  ขบวนการสงฆ์ในปัจจุบัน.  เอกสารการสอนชุดวิชาความเชื่อและศาสนาใน
                        สังคมไทย  หน่วย  ๑ - ๗.  นนทบุรี : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช,  ๒๕๓๓.   
กลุ่มปฏิบัติงานเพื่อการเผยแพร่พระพุทธศาสนา. ธรรมนิทัศน์ สัปดาห์พุทธธรรมพุทธทาส.
                        กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์หอรัตน์ชัยการพิมพ์, ๒๕๓๑.
 (๓)  วิทยานิพนธ์
จิราพร  คงเหล่.  “ศึกษาบทบาทของสวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี.  
                        วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต.  บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยทักษิณ,
                        ๒๕๔๑. 
ปิยะวรรณ์  สุธารัตน์. โวหารและความคิดจากอัตชีวประวัติของพุทธทาสและศาสตราจารย์                                             นายแพทย์  ประเวศ  วะสี. รายงานการวิจัย : มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา,
                        ๒๕๔๑.   

ขอบข่ายเนื้อหา (ธรรมศึกษาชั้นโท)

ขอบข่ายเนื้อหาหลักสูตรธรรมศึกษา ชั้นโท
(ปัจจุบัน)

 ศาสนพิธี

ศาสนพิธี  เป็นพิธีทางศาสนาที่กว้างขวาง  ลึกซึ้งเป็นขั้น ๆ  พิธีกรรมแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นเป็นความนิยมในพระศาสนาย่อมเกิดขึ้นโดยมีเหตุผลและมีจุดหมายทั้งสิ้น
ประเภทของศาสนพิธีแบ่งออกเป็น  หมวด  ดังนี้
1.       หมวดกุศลพิธี                                                                2.  หมวดบุญพิธี
3.   หมวดทานพิธี                                                                  4.  หมวดปกิณกะ

                หมวดที่  1

                กุศลพิธี  เป็นพิธีกรรมที่สงฆ์พึงปฏิบัติเพื่อความดีงามในพระวินัย  มี  อย่าง
                1.  พิธีเข้าพรรษา                                                   2.  พิธีถือนิสัย
                3.  พิธีทำสามีจิกรรม                                             4.  พิธีทำวัตรสวดมนต์
                5.  พิธีกรรมวันธรรมสวนะ                                    6.  พิธีทำสังฆอุโบสถ                             7.  พิธีออกพรรษา

1.พิธีเข้าพรรษา     

มูลเหตุการเข้าจำพรรษา

ตามวัสสูปนายิกขันธกะ  พระวินัยปิฎก  กล่าวว่า  เมื่อมีภิกษุมากขึ้น  พระพุทธเจ้ายังมิได้ทรงบัญญัติให้ภิกษุจำพรรษา  ภิกษุทั้งหลายบางพวกต่างพากันจาริกไปยังสถานที่ต่างๆ  เหยียบย่ำข้าวกล้าในท้องนาและเหยียบย่ำสัตว์เล็กสัตว์น้อยตาย  ชาวบ้านพากันตำหนิติเตียนเป็นอันมาก  ความทราบถึงพระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติให้ภิกษุจำพรรษาในฤดูฝนตลอด  เดือน

การเข้าจำพรรษา

การเข้าจำพรรษา  คือ การที่ภิกษุผูกใจว่าจะอยู่ประจำพรรษาตั้งแต่วันแรม  ค่ำ  เดือน  ไปจนถึงวันเพ็ญ  (กลางเดือนเดือน  11

สถานที่จำพรรษา

สถานที่จำพรรษา  ทรงอนุญาตให้ภิกษุจำพรรษาในถ้ำ  (คูหาหรือกุฎีอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้  ซึ่งมีที่มุงที่บังครบถ้วน

                สถานที่ห้ามจำพรรษา  ทรงห้ามจำพรรษาที่กลางแจ้ง  ในโพรงไม้  ในหลุมที่ขุด  หรือในกุฎีดินซึ่งมีลักษณะเหมือนตุ่มอันอาจเป็นอันตรายพังลงมาทับเพราะน้ำฝนได้

            ระเบียบพิธี
1.     วันเข้าพรรษา  คือ  วันแรม 1 ค่ำ  เดือน  8  (ปีที่มีอธิกมาส  เป็นวันแรม  1 ค่ำ  เดือน  หลังภิกษุสามเณรทุกรูปในวัดเตรียมดอกไม้ธูปเทียนใส่พาน  หรือภาชนะที่สมควร  เพื่อใช้สักการะปูชนียวัตถุต่างๆ  ในวัดและใช้ทำสามีจิกรรมตามทำเนียมให้พร้อมก่อนเวลากำหนด  การประกอบพิธีต้องประชุมพร้อมกันในอุโบสถ  ในเวลาเย็นหรือค่ำตามสะดวก
2.     ถึงกำหนดเวลาตีระฆังสัญญาณ  ภิกษุสามเณรลงพร้อมกันในอุโบสถนั่งตามลำดับอาวุโส  หันหน้าเข้าหาพระพุทธรูปประธานเป็นแถวๆ
กรณียะที่พึงปฏิบัติ
   2.1 การทำวัตรเย็น  เจ้าอาวาสหรือพระเถระผู้เป็นประธานในที่ประชุมจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย แล้วนำทำวัตรเย็นตามที่เคยปฏิบัติประจำทุกวัน
   2.2 การแสดงพระธรรมเทศนาหรือประกาศเรื่องวัสสูปนายิกากถา  เป็นหน้าที่ของเจ้าอาวาสโดยตรง  หรือจะมอบหมายให้พระรูปใดรูปหนึ่งทำหน้าที่แทนก็ได้  โดยแสดงเป็ฯเทศนาตามหนังสือเทศน์ที่มีหรือจะอ่านประกาศเพื่อให้ภิกษุสามเณรที่ประชุมได้ทราบเรื่องวัสสูปนายิกาเป็นสำคัญ
2.  พิธีถือนิสสัย
ตามธรรมเนียมพระวินัย  ภิกษุผู้ยังอยู่ในเขตเป็นพระนวกะ  คือมีพรรษายังไม่พ้น  หรือพ้นแล้วแต่ยังไม่สามารถรักษาตนตามพระวินัยบัญญัติได้  จะต้องถือนิสสัยต่อเจ้าอาวาสซึ่งไม่ได้เป็ฯพระอุปัชฌาย์ของตนในวัดที่ตนอาศัยอยู่  และสามเณรทุกรูปที่บวชหมู่และบวชนานแล้ว  ถ้าไม่ได้อยู่ในสำนักของพระอุปัชฌาย์ของตนสมควรถือนิสสัยต่อเจ้าอาวาสในวัดที่ตนอาศัยอยู่เช่นเดียวกัน
ระเบียบพิธี
1.ภิกษุสามเณรผู้อาคันตุกะ  เมื่อจะประกอบพิธีถือนิสสัยมอบตัวต่ออาจารย์  พึงตระเตรียมเครื่องสักการะไว้ให้พร้อม 
                2.เจ้าอาวาสผู้เป็นประธานสงฆ์ในวัด  เมื่อรับภิกษุหรือสามเณรอาคันตุกะไว้โดยชอบด้วยระเบียบ  ควรถือเป็นภาระที่จะต้องอบรมสั่งสอนให้รู้และปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนที่ดีงาม  ในการโอวาทอบรมสั่งสอนนั้นควรเป้ฯเรื่องหน้าที่ศิษย์ที่จะพึงปฏิบัติต่ออาจารย์ตามพระวินัย 
3.  พิธีทำสามีจิกรรม
การทำความชอบ  เรียกว่า  สามีจิกรรม”  หมายถึง  การขอขมาโทษกัน  ให้อภัยกันทุกโอกาสไม่ว่าจะมีโทษขัดข้องหมองใจกันหรือไม่ก็ตาม โอกาสควรทำสามีจิกรรมนั้น  โดยนิยมมีดังนี้
1.     ในวันเข้าพรรษา  ทั้งภิกษุสามเณรที่ร่วมอยู่วัดเดียวกัน  ควรทำสามีจิกรรมต่อกัน  เรียงตัวตั้งแต่ผู้มีอาวุโสมากที่สุดถึงสามเณรรูปสุดท้ายในวัด
2.     ในระยะเข้าพรรษา  เริ่มแต่วันเข้าพรรษาและหลังวันเข้าพรรษา  ระยะเวลาประมาณ  วัน  ควรทำสามีจิกรรมต่อท่านที่เคารพนับถือ  ซึ่งอยู่ต่างวัดโดยทั่วถึง
ระเบียบพิธี
1.       สามีจิกรรมแบบขอขมาโทษ  ในอุโบสถหรือนอกอุโบสถ
1.1       จัดเครื่องสักการะ  คือดอกไม้ธูปเทียนใส่พาน  หรือภาชนะที่สมควร  ในปัจจุบันนิยมใช้เทียนแพ
1.2       ครองผ้าเรียบร้อยตามนิยมของวัดที่ตนสังกัด  ถ้าเป็นภิกษุพาดสังฆาฏิด้วย
1.3     ถือพานดอกไม้ธูปเทียน  หรือพานเทียนแพ  ประคอง  มือเข้าไปหาท่านที่ตนจะขอขมาคุกเข่าลงตรงหน้า  ห่างกันประมาณศอกเศษ  วางพานทางซ้ายมือของตน  กราบ  3 ครั้ง  แล้วยกพานขึ้นประคองสองมือแค่อก กล่าวคำขอขมา
1.4     เมื่อม่านที่ตนขอขมากล่าวคำในอภัยโทษแล้ว  พึงรับคำตามแบบนิยมถ้าท่านที่ตนขอขมาให้พรด้วย  พึงตั้งใจรับพรจนจบ และรับคำด้วยคำว่า  สาธุ  ภนเต”   ถ้าไม่มีพรและรับพระเสร็จแล้วพึงน้อมพานสักการะเข้าไปประเคน  แล้วกราบ  ครั้ง  เป็นเสร็จพิธี
2.       สามีจิกรรมแบบถวายสักการะ
2.1     จัดเตรียมเครื่องสักการะอย่างเดียวกับแบบขอขมา  แต่ในกรณีนี้  อาจเพิ่มเติมของใช้หรือสิ่งอื่นใดที่ควรแก่สมณบริโภคด้วยก็ได้
2.2       การทำในแบบนี้  จะมีอาวุโสแก่กว่าหรืออ่อนกว่าตนก็ทำได้
2.3     ครองผ้าให้เรียบร้อย  ถือเครื่องสักการะเข้าไปหาท่านที่ตนจะทำแล้วประเคนทันที  ถ้าตนอ่อนอาวุโสกว่า  พึงกราบ  ครั้ง  ถ้าตนแก่กว่าไม่ต้องกราบ  เท่านี้เป็นอันเสร็จพิธี
4. พิธีทำวัตรสวดมนต์
            การทำวัตร  คือ  การทำวัตรของภิกษุสามเณร  และอุบาสกอุบาสิกาเป็นการทำกิจที่ต้องทำเป็นประจำจนเป็นวัตรปฏิบัติ  เรียกว่า  ทำวัตร”  และต้องทำเป็นประจำวันละ  เวลา  คือ  เช้ากับเย็น
                การสวดมนต์  คือ  การสวดบทพระพุทธมนต์ต่างๆ  ที่เป็นส่วนพระสูตรก็มี  ที่เป็นส่วนพระปริตรก็มี  ที่เป็นส่วนเฉพาะคาถาอันนิยมกำหนดให้นำมาสวดประกอบในการสวดมนต์เป็นประจำก็มี  นอกเหนือจากบทสวดทำวัตร  เรียกรวมการสวดทั้งสองนี้เข้าด้วยกันว่า  ทำวัตรสวดมนต์
5.  พิธีกรรมวันธรรมสวนะ
                วันธรรมสวนะ  คือ  วันกำหนดประชุมฟังธรรม  เรียกว่า  วันพระ”  วันกำหนดฟังธรรมนี้  กำหนดไว้  4 วัน ในเดือนหนึ่ง คือ  วัน  ค่ำ  วัน  14  หรือ  15  ค่ำ  ของปักษ์ทั้งข้างขึ้นและข้างแรมนับโดยจันทรคติ
6.พิธีทำสังฆโบสถ
เป็นธรรมเนียมของพระภิกษุตามพระวินัย  จะต้องทำอุโบสถกรรมทุกรูปและทุกกึ่งเดือน  ไม่มีเหตุจำเป็นที่มีพระบรมพุทธานุญาตไว้  จะเว้นหรือขาดการกระทำเสียมิได้  อุโบสถกรรม    นี้ต้องทำในสีมาชนิดใดชนิดหนึ่งตามพระวินัย
                อุโบสถ  3
1.     สังฆอุโบสถ  คือ  อุโบสถกรรมที่พระภิกษุร่วมกันทำตั้งแต่  รูปขึ้นไป  ทำเป็นการสงฆ์ต้องสวดปาฏิโมกข์ในท่านกลางสงฆ์เป็นหลักของการกระทำ
2.     ปาริสุทธิอุโบสถ  คือ  พระภิกษุมีต่ำกว่า  รูป  ได้แก่  มีพระภิกษุเพียง  3   รูป  หรือ  2 รูป  ทำเป็นการคณะห้ามสวดปาฏิโมกข์  ให้พระภิกษุแต่ละรูปบอกความบริสุทธิ์ของตน  เป็นการปฏิญาณตนต่อกันว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จากอาบัติโทษ  เป็นหลักของการทำ
3.       อธิษฐานอุโบสถ  คือ  อุโบสถที่ทำเป็นการบุคคล  ทำด้วยการอธิษฐานใจตนเอง
หลักการทำอุโบสถ
1.       สังฆอุโบสถต้องทำภายในสีมาอย่างใดอย่างหนึ่งที่ถูกต้องตามวินัย
2.       วันทำอุโบสถเป็นวันขึ้น  15  ค่ำ  แรม  14  ค่ำ  หรือแรม  15  ค่ำ  ทางจันทรคติ  หรือวันสามัคคี
3.       มีพระภิกษุประชุมทำร่วมกันเป้ฯสงฆ์ตั้งแต่  รูปขึ้นไป
4.     พระภิกษุที่เข้าร่วมอุโบสถสังฆกรรม  ไม่เป็นผู้ต้องสภาคาบัติ  หรือต้องสภาคาบัติแล้ว  แต่ได้สวดประกาศก่อนทำอุโบสถโดยชอบด้วยพระวินัย
5.       ในที่ประชุมสงฆ์นั้น  ไม่มีบุคคลที่ควรเว้นอยู่ภายในหัตถบาส
6.       พระสงฆ์ทั้งนั้นได้ทำบุพกิจและบุพกรณ์ของอุโบสถสังฆกรรมเสร็จเรียบร้อยแล้ว
7.       มีการสวดปาฏิโมกข์ในท่ามกลางสงฆ์
ระเบียบพิธี
1.       กำหนดเวลาทำสังฆกรรม  แล้วแต่วัดนั้นๆ  จะกำหนดเวลาไว้ตายตัวว่าจะทำเวลากลางวันหรือกลางคืนและเวลาเท่าไร
2.     ในวันอุโบสถ  ก่อนถึงเวลากำหนดทำอุโบสถ  เจ้าอาวาสต้องให้ภิกษุสามเณรหรือคนวัดทำความสะอาดโรงอุโบสถ  ปูลาดอาสนะและตั้งเตียงปาฏิโมกข์  ตั้งน้ำใช้น้ำฉันไว้ในที่ที่ควร  ตามประทีปในโรงอุโบสถ  (กลางคืนเมื่อถึงเวลา ตีระฆังสัญญาณ
3.     ก่อนถึงเวลาเล็กน้อย  กิจที่พระภิกษุสงฆ์ต้องเตรียม  คือ  ครองผ้าไว้ให้เรียบร้อย  เมื่อได้ยินสัญญาณระฆังให้ลงไปพร้อมกันในโรงอุโบสถ           แสดงอาบัติ  นั่งบนอาสนะตามลำดับอาวุโส หันหน้าไปทางพระประทาน
4.       เมื่อพร้อมกันแล้ว  ให้นับจำนวนพระสงฆ์ที่เข้าร่วมประชุม
5.       ต่อจากนั้นเริ่มทีวัตรเย็น  เสร็จแล้วนั่งล้อมรอบธรรมาสน์หรือเตียงปาฏิโมกข์  รักษาหัตภบาส
6.       เริ่มดำเนินการสวดปาฏิโมกข์
7.     จบปาฏิโมกข์แล้ว  พระสงฆ์ทั้งนั้นสวดมนต์ต่อท้ายปาฏิโมทกข์พอสมควร  สวดสีลุทเทสปาฐ  เป็นหลัก  นอกนั้นสุดแล้วแต่จะสวด  จบลงด้วยบทกรวดน้ำ  อิมินา  ปุญญกมเมน  เป็นเสร็จพิธี
ระเบียบทำปาริสุทธิอุโบสถ
                ปาริอุโบสถ  คือ  อุโบสถที่ภิกษุผู้ประชุมกันทำไม่ครบจำนวนเป็นสงฆ์  มีเพียง  รูป  หรือ  รูป  เรียกว่า  คณะ”  ห้ามสวดปากิโมกข์ในการทำ  ให้บอกความบริสุทธิ์แก่กันแทนการสวด  ปาฏิโมกข์
                วิธีทำ
                เมื่อถึงวันอุโบสถ  ให้ภิกษุที่มีอยู่  หรือ  รูปนั้น  ประชุมกันในโรงอุโบสถและร่วมกันทำบุพกรณ์และกิจที่สมควร  ถ้ามี  รูป  ให้รูปหนึ่งตั้งญัติประกาศทำปาริสุทธิอุโบสถเป็นการคณะ  ครั้แล้วภิกษุผู้เถระพึงนั่งคุกเข่าประนมมือบอกความบริสุทธิ์ของตนตามแบบ  3   หน  ภิกษุนอกนี้  ก็พึงทำอย่างเดียวกันตามลำดับพรรษา  ถ้ามีเพียง  รูป  ไม่ต้องตั้งญัติให้บอกความบริสุทธิ์แก่กันตามแบบ  รูปละ  3  หนตามลำดับพรรษา
            พิธีออกพรรษา
                ออกพรรษา  หมายถึง  การสิ้นสุดกำหนดอยู่จำพรรษาของภิกษุตามพระวินัย  มีพิธี    สังฆกรรมพิเศษ  เรียกว่า  ปวารณากรรม”  คือการทำปวารณาของสงฆ์ผู้อยู่ร่วมกันมาตลอด  เดือน  บัญญัติให้สงฆ์ทำปวารณา  คือ  การยินยอมให้ว่ากล่าวตักเตือนกันได้ทุกกรณี  ไม่ต้องเกรงกันว่าเป็นผู้ใหญ่ผู้น้อย  จะถือมาเป็นโทษโกรธแค้นกันไม่ได้ด้วย
หมวดที่  2    บุญพิธี

เรื่องบุญพิธีโดยหลักใหญ่  ได้ประมาณเป็นหัวข้อได้  เรื่อง

                พิธีทำบุญตักบาตรเทโวโรหณะ
                วันเทโวโรหณะ  คือ วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก  หลักจากเสด็จขึ้นไปจำพรรษาอยู่ในภพดาวดึงส์ตลอดไตรมาส  และตรัสพระอภิธรรมเทศนาโปรดพระพุทธมารดาในเทวโลกนั้นตลอด   เดือน  พอออกพรรษาแล้ว  ก็เสด็จกลับมายังโลกมนุษย์
                ระเบียบพิธี
                พิธีตักบาตรเทโวโรหณะนี้  นิยมจัดทำขึ้นในวัดเป็นหน้าที่ของทางวัดต่างๆ  และทายก    ทายิการ่วมกันจัดทำมีระเบียบพิธีพอประมวลได้  ดังนี้
             1.  ก่อนถึงวันแรม  ค่ำ  เดือน  11  ซึ่งเป็นกำหนดวันทำบุญตักบาตรเทโวโรหณะนั้น  ทางวัดจะต้องจัดเตรียมงานต่างๆ  ไว้ให้พร้อม  ดังนี้
1.1     รถหรือคานหามพระพุทธรูปสำหรับชักหรือหามนำหน้าพระสงฆ์ในการรับบาตร  ตรงกลางมีที่ตั้งพระพุทธรูป  ประกอบด้วยราชวัติ  ฉัตร  ธงโดยรอบ  ที่มีตั้งบาตรหน้าพระพุทธรูปประดับให้วิจิตรพิสดารอย่างไรก็ได้
1.2       ถ้าไม่รถหรือคานหาม  จะใช้อุบาสกเป็นผู้เชิญพระพุทธรูป  และมีผู้ถือบาตรตามสำหรับบิณฑบาตรก็ได้
1.3     พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร  องค์  ถ้าไม่มีจะใช้พระพุทธรูปยืนปางอื่นก็ได้  ขนาดพอเหมาะสำหรับเชิญขึ้นบนรถทรงนำขบวนเวลารับบาตรเทโวโรณะ
1.4       จัดเตรียมสถานที่ให้ทายทายิกาตั้งเครื่องใส่บาตร  โดยจัดบริเวณรอบๆ  อุโบสถหรือลานวัดก็ได้  จัดให้ตั้งเป็นแถวติดต่อกันไป 
1.5       แจ้งกำหนดเวลาตักบาตรให้แน่นอนบางแห่งจัดให้มีพระธรรมเทศนาทั้งตอนเช้าและตอนบ่ายก็ต้องกำหนดเวลาล่วงหน้า

            2.  สำหรับทายกทายิกา  เมื่อทราบกำหนดการแล้ว  จะต้องเตรียมและดำเนินการ  ดังนี้
2.1      เตรียมภัตตาหารคาวหวานใส่บาตร 
2.2      ถึงกำหนดวัน  ก็นำของใส่บาตรไปตั้งบนอาสนะที่ทางวัดจัดไว้ให้
2.3      เมื่อใส่บาตรแล้วก็เป็นอันเสร็จพิธี  ถ้ามีเทศน์ด้วยจะอยู่ฟังด้วยก็ได้
           3.  สำหรับพระภิกษุสามเณรผู้รับบาตร  ถ้าในวัดห่มเฉียงอุ้มบาตร  ถ้าเป็นนอกวัดห่มคลุมเหมือนออกบิณฑบาตรนอกวัด  เดินตามรถหรือคานหามพระพุทธรูป
                พิธีเจริญพระพุทธมนต์
                การเจริญพระพุทธมนต์  ใช้สำหรับงานมงคลต่างๆ  เป็นพิธีกรรมฝ่ายสงฆ์พึงปฏิบัติ  บทพระพุทธมนต์ใช้กันทั่วๆ  ไปมีดังนี้
                เจ็ดตำนาน    สิบสองตำนาน    ธัมมจักกัปปวัตนสูตร    มหาสมยสูตร    โพชฌงคสูตร   คิริมานนทสูตร    ชยมงคลคาถา    คาถาจุดเทียนชัยและคาถาดับเทียนชัย                                           

ระเบียบพิธีและนิยมของบทพระพุทธมนต์

1.       งานมงคลทั่วไป                             2..งานมงคลเฉพาะกรณี
งานมงคลทั่วไป
                งานมงคลทั่วไป  คือ  งานที่เกี่ยวเนื่องด้วยเรื่องฉลองและเรื่องต้องการสิริมงคลทั่วไป  การเจริญพระพุทธมนต์งานมงคลนี้  นิยมใช้บทเจ็ดตำนาน  ซึ่งรวมเรียกว่าพระปริตร” 
                บทเจ็ดตำนานมีดังนี้
                มงคลสูตร    รตนสูตร    กรณียเมตตสูตร    ขันธปริตร    โมรปริตร    ธชัคคสูตร    อาฏานาฏิยสูตร  โพชฌงคปริตร
ในการสวดเจ็ดตำนานนี้ แต่เดิมนิยมสวดเต็มตำนาน  แต่ภายหลังมีนิยมเป็น  แบบ  คือ
แบบเต็ม  แบบย่อ  แบบลัด
                งานมงคลเฉพาะกรณี
งานมงคลเฉพาะกรณี  ที่นิยมทำกันอยู่ทั่วไป  มี  งาน  คือ
1.       งานฉลองพระบวชใหม่
2.       งานมงคลสมรส
3.       งานทำบุญอายุ
4.       งานทำบุญเอาฤกษ์ชัยมงคล
5.       งานทำบุญต่อนาม
พิธีสวดพระพุทธมนต์
                การสวดพระพุทธมนต์  คือ  การสวนมนต์เป็นพิธีสงฆ์งานอวมงคล  ระเบียบพิธีฝ่ายเจ้าภาพเหมือนงานทำบุญทั่วไป  ต่างแต่ถ้าเป็นงานทำบุญหน้าศพ  คือมีศพตั้งอยู่  ไม่ต้องวงสายสิญจน์และไม่ต้องตั้งน้ำมนต์
                ถ้าปรารภศพ  แต่ไม่มีศพตั้งอยู่ในบริเวณพิธี  จะวงสายสิญจน์และตั้งน้ำมนต์ด้วยก็ได้  โดยถือว่าเป็นการทำบุญบ้านไปในตัวด้วยก็ได้  งานประเภทนี้มี  งาน  คือ
1.       งานทำบุญหน้าศพ
2.       งานทำบุญอัฐิ
พิธีสวดพระอภิธรรม
                การสวดพระอภิธรรม คือ งานทำบุญเกี่ยวด้วยศพ  นับตั้งแต่มีการตายเกิดขึ้นจนถึงวันทำฌาปนกิจ  โดยประเพณีนิยม  ญาติของผู้ตายจะจัดให้มีสวดพระอภิธรรมในงานด้วย  พิธีสวดพระอภิธรรมนี้  มีนิยมเป็น  อย่าง
1.       สวดพระอภิธรรมประจำยามหน้าศพ
2.       สวดพระอภิธรรมหน้าไฟ

สวดพระอภิธรรมประยามหน้าศพ

                งานศพไม่เหมือนงานอื่น  ตอนค่ำมักว้าเหว่  จึงนิยมมีพิธีสวดพระอภิธรรมในตอนค่ำคืน  การสวดนี้บางแห่งนิมนต์พระมาสวดเป็นชุดๆ  ละยาม  สวดตลอดรุ่ง  ยาม  ก็นิมนต์พระ  4 ชุดสวดติดต่อกันก็มี  บางแห่งสวดแค่ในยามต้นก็มี  ดังนี้
            สวนพระอภิธรรมหน้าไฟ
            การสวดพระอภิธรรมหน้าไฟ  นิยมสวดในขณะทำฌาปนกิจ  การสวดไม่มีพิธีฝ่ายเจ้าภาพอย่างสวดหน้าศพ  เมื่อถึงพิธีจุดศพ  พระสงฆ์เข้านั่งประจำที่  พิธีเริ่มจะจุดศพ  ก็ตั้งพัดพร้อมกัน  พอจุดศพก็ตั้ง  นะโม  แล้วสวดไปจนจบพระอภิธรรม  คัมภีร์  เมื่อเจ้าภาพถวายเครื่องไทยธรรมแล้ว  อนุโมทนาเป็นเสร็จพิธี
                พิธีสวดมาติกา
                การสวดมาติกา  คือ  การสวดบทมาติกาของพระอภิธรรมเจ็ดคัมภีร์  หรือที่เรียกว่า  สัตตีปกรณาภิธรรม”  มีการบังสุกุลเป็นที่สุด  เรียกโดยโวหารทางราชการในงานหลวงว่า  สดัปปกรณ์”  แต่ราษฎร์สามัญทั่วไปเรียกว่า  สวดมาติกา
                พิธีสวดแจง
            งานฌาปนกิจศพ  มีนิยมอย่างหนึ่งคือจัดให้มี  เทศน์สังคีติกถา”  หรือที่เรียกว่า  เทศน์แจง”  จะเทศน์ธรรมาสน์เดียวหรือ  ธรรมาสน์  เป็นปุจฉาวิสัชนาก็ได้

หมวดที่  ทานพิธี

1.        เรื่องถวายสังฆทาน
สังฆทาน  คือ  ทานที่ถวายแก่สงฆ์มิได้เจาะจงแก่บุคคล  โดยที่เข้าใจกันก็คือการจัดภัตตาหารถวาย พระสงฆ์ไม่เกี่ยวกับการถวายทานวัตถุอย่างอื่น  การจัดภัตตาหารถวายพระสงฆ์อย่างนี้  เรียกกันว่า  ถวายสังฆทาน”  มีทั้งหมด  ประการ  คือ
1.       ถวายแก่หมู่ภิกษุและภิกษุณี  มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
2.       ถวายแก่หมู่ภิกษุ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
3.       ถวายแก่หมู่ภิกษุณี  มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
4.       ถวายแก่หมู่ภิกษุและภิกษุณี  ไม่มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
5.       ถวายแก่หมู่ภิกษุ ไม่มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
6.       ถวายแก่หมู่ภิกษุณี  ไม่มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
7.       ร้องขอต่อสงฆ์ให้ส่งใครๆ  ไปรับแล้วถวายแก่ผู้นั้น
แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีครบทั้ง  ประเภท  มีเพียง  ประเภทเท่านั้น
1.     ทานที่ถวายแก่ภิกษุ  (ที่วัด)
2.       ทานที่สงฆ์จัดให้ตามคำร้องขอของทายก  (ที่บ้าน)
2.  เรื่องถวายสลากภัตต์
สลากภัตต์  คือ  ภัตตาหารที่ทายกทายิกาถวายตามสลาก  นับเข้าในสังฆทาน  ในครั้งพุทธกาลถวายโดยไม่กำหนดกาล  แต่ปัจจุบัน มักนิยมทำกันในเดือนที่มีผลไม้ต่างๆ  บริบูรณ์มาก  จัดถวายภัตตาหารพร้อมด้วยผลไม้นั้นๆ  ด้วยสลาก 
วิธีทำสลากภัตต์
เมื่อถึงวันกำหนด  ผู้จะถวายสลากภัตต์ก็จัดภัตตาหารกับไทยธรรมซึ่งมักประกอบด้วยผลไม้ในฤดูนั้นๆ  ตามกำลังของตนนำไปวัดหรือสถานที่ที่กำหนดไว้  ทายกทายิกาก็ให้ผู้รับสลากภัตต์ทุกคนจับสลากการจับสลากนั้น  ก็เขียนชื่อพระภิกษุสามเณรในวัดนั้นหรือที่นิมนต์มา  ทำเป็นธงม้วนไว้ให้ทายกทายิกาจับ  เมื่อจับได้ชื่อรูปใดก็ถวายรูปนั้น
3. เรื่องตักบาตรข้าวสาร
การถวายข้า  (ตักบาตรข้าวสารเป็นประเพณีที่เกิดขึ้นในเมืองไทยยุคหลัง  เข้าใจว่าเพิ่งทำกันแพร่หลายเมื่อในรัชกาลที่  เพราะมีพระบรมราชธิบายของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ในหนังสือพระราชพิธี  12  เดือน  ตอนว่าด้วยการตักบาตรน้ำผึ้งแห่งหนึ่ง  ทรงแย้มความไว้ว่า  การตักบาตรน้ำผึ้งในสยามเรา  มีประโยชน์สู้ตักบาตรข้าวสารไม่ได้”  น่าจะมีผู้เห็นชอบตามพระบรมราชาธิบายนี้  จึงเปลี่ยนมาเป็นการตักบาตรข้าวสาร
ระเบียบพิธีปฏิบัติ
ในระหว่างเข้าพรรษาเป็นกาลนิยมทำบุญตักบาตรข้าวสาร  จะกำหนดวันไหนตามแต่จะสะดวก  โดยการประกาศให้ชาวบ้านรู้ทั่วกัน  ถึงวันกำหนดก็นำข้าวสารพร้อมทั้งเครื่องบริวาร  มีพริก  กะปิ  หอม  กระเทียม  ปลาแห้ง  ปลาเค็ม  เป็นต้น  นำไปวางรวมกันในที่จัดไว้  เมื่อพร้อมกันแล้วตีระฆังสัญญาณให้พระภิกษุสามเณรทั้งวัดลงมาประชุมกันที่ศาลาหรือสถานที่ที่กำหนดไว้
เมื่อพร้อมกันแล้ว  มีการรับศีลและแสดงธรรมอนุโมทนา  กัณฑ์  จบแล้วจึงกล่าววคำถวายข้าวสารพร้อมทั้งเครื่องบริวารเป็นภาษาบาลีและคำแปลเป็นภาษาไทย  พระสงฆ์รับว่า  สาธุ”  พร้อมกัน
4.  เรื่องถวายเสนาสนะ
( กุฎี  วิหาร  ศาลา)
เสนาสนะ  เป็นที่อยู่อาศัยของพระภิกษุสามเณรในวัดและเป็นที่บำเพ็ญกุศลสาธารณะ  ส่วนมากนิยมสร้างกันในฤดูร้อนก่อนฤดูฝน  สร้างเสร็จแล้วถวายเป็นของสงฆ์ก่อนเข้าพรรษา  มีพิธีเกี่ยวด้วยการสร้างและการถวาย  ดังนี้
1.      ถ้าภิกษุสร้างเสนาสนะอยู่อาศัยเองในวัด  เป็นการวัตถุที่ต้องก่อหรือโบกด้วยปูนหรือดินเหนียวต้องสร้างให้ได้ประมาณตามพระวินัย  คือ  ยางเพียง  12  คืบพระสุคต  (8  ศอก  3นิ้วเศษกว้าง  คืบพระสุคต  ( 5 ศอก  10  นิ้วเศษ โดยประมาณของช่างไม้ปัจจุบัน  ในการสร้างนี้ต้องให้สงฆ์แสดงที่ให้ก่อนจึงสร้างได้  มิฉะนั้นผิดวินัย
2.         ถ้ามีทายกสร้างให้  ไม่จำกัดประมาณ  แต่ต้องให้ทางวัดอนุญาตและให้สงฆ์แสดงที่ให้ก่อน
3.      เมื่อสร้างเสร็จแล้ว  มีนิยมให้เจ้าของผู้สร้างถวายเสนาสนะนั้นเป็นของสงฆ์  ประชุมสงฆ์พร้อมกันในวัด  เจ้าภาพพร้อมด้วยญาติมิตร  กล่าวคำถวายพร้อมกัน  โดยหัวหน้าว่านำเป็นภาษาบาลีและแปลเป็นไทย
4.      กล่าวคำถวายจบ  พระสงฆ์รับ  สาธุ”  พร้อมกัน  ต่อจากนั้นให้เจ้าของผู้สร้างหลั่งน้ำลงในมือของพระภิกษุผู้เป็นประธานในพิธี  แสดงว่ายอมยกให้พระสงฆ์แล้ว  ต่อจากนั้น  พระสงฆ์อนุโมทนา  ยะถา  สัพพี  บทวิเสสอนุโมทนานิยมใช้  สีตํ  อุณหํ  ต่อด้วยบท  สัพพพุทธานุภาเวนะ
5.  เรื่องถวายผ้าวัสสิกสาฎก  (ผ้าอาบน้ำฝน)เป็นผ้าสำหรับใช้นุ่งในเวลาอาบน้ำฝน  หรืออาบน้ำทั่วไป  แต่เดิมทรงอนุญาตให้ภิกษุใช้ผ้า  ผืน  (ผ้าไตรจีวรเท่านั้น  เมื่อเวลาฝนตก  ภิกษุบางรูปปรารถนาจะอาบน้ำฝน  ไม่มีผ้าอื่นจะผลัดนุ่งก็เปลือยกายอาบน้ำฝน
ผ้าอาบน้ำฝนนี้  ต้องทำให้ถูกต้องพระวินัยบัญญัติที่ทรงอนุญาตไว้  คือ  เป็นผ้าผืนยาว  คืบพระสุคตกว้าง  คืบครึ่ง  ถ้าเกินกว่านี้ใช้สอยเป็นอาบัติ  ต้องตัดให้ได้ประมาณก่อนจึงแสดงอาบัติตก
                ทรงบัญญัติเขตกาลที่จะแสวงหา  เขตกาลที่จะทำนุ่งห่ม  และเขตกาลอธิษฐานใช้สอยว่า
1.       เขตกาลแสวงหา
2.       เขตกาลทำนุ่งห่ม
3.       เขตกาลอธิษฐานใช้สอย
6.  เรื่องถวายผ้าจำนำพรรษา
                ผ้าจำนำพรรษา  คือ  ผ้าที่ถวายแก่ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาครบ เดือน  (เว้นผ้ากฐินเป็นพิเศษส่วนหนึ่งที่ทรงอนุญาตให้ภิกษุอยู่ครบ   เดือน  ถ้าได้กรานกฐินแล้ว  รับและใช้สอยได้ภายในกำหนด  5 เดือนอันเป็นเขตอานิสงส์กฐิน  คือตั้งแต่แรม  ค่ำ  เดือน  11  ถึงกลางเดือน  4
                ส่วนภิกษุที่จำพรรษาครบ  เดือน  แต่ไม่ได้กรานกฐิน  รับและใช้สอยได้เพียงกำหนด  เดือน  อันเป็นเขตอานิสงส์จำพรรษา  คือตั้งแต่แรม  ค่ำ  เดือน  ถึงกลางเดือน  12
                ผ้าที่ถวายนอกกำหนดนี้ไม่นับเป็นผ้าจำนำพรรษา  ในเมืองไทย  มีปรากฏทำเป็นแบบแผนขึ้นในสมัยรัชการที่  ซึ่งมีหลักฐานแจ้งอยู่ในหนังสือพระราชพิธี   12  เดือน  ว่าได้พระราชทาน  (ผ้าจำนำพรรษาสำหรับวัดพระเชตุพนฯ  วัดอรุณราชวราราม  และวัดราชโอรสเป็นปฐม  สำหรับชาวบ้านก็มีทำอยู่บ้างตามประเพณี
                7.  เรื่องถวายผ้าอัจเจกจีวร
                ผ้าอัจเจกจีวร  คือ  ผ้าจำนำพรรษาที่ทายกรีบด่วนถวายก่อนวันออกพรรษา  โดยประสงค์จะทรงรักษ๋าศรัทธาของทายกผู้ตั้งใจจะถวาย  เพราะมีเหตุจำเป็นเกิดขึ้น  คือ
1.       จะต้องไปสงคราม
2.       จะไปค้างแรมอยู่ที่อื่นด้วยความจำเป็น
3.       หญิงมีครรภ์แก่เกรงว่าจะคลอดเสียก่อนถึงกำหนด
4.       ผู้มีศรัทธาเลื่อมใสเกิดขึ้นใหม่  จะรอถึงออกพรรษาเกรงว่าจะมีเหตุขัดข้อง
8.  เรื่องทอดผ้าป่า
                ผ้าป่า  ในครั้งพุทธกาล  เรียกว่า  ผ้าบังสุกุล  คือ  ผ้าเปื้อนฝุ่นที่ไม่มีเจ้าของหวงแหน  ที่ทิ้งอยู่ตามป่าดงบ้างตามป่าช้าบ้าง  ตามถนนหนทางและห้อยอยู่ตามกิ่งไม้บ้าง  ที่สุดกระทั่งที่เขาอุทิศวางไว้แทบเท้าบ้าง  ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่า  ผ้าป่า  ระยะเวลาทอดผ้าป่าไม่มีกำหนดกาลจะทอดเมื่อไรก็ได้
                พิธีที่สำคัญคือ  ให้อุทิศเป็นผ้าป่าจริงๆ  อย่าถวายแก่ใครโดยเฉพาะ  ถ้าทอดลับหลังพระสงฆ์ผู้รับ  ให้เจ้าภาพตั้งใจขณะทอดว่า  ขออุทิศผ้าพร้อมทั้งเครื่องบริวารแก่ภิกษุผู้ต้องการผ้าบังสุกุลมาถึงเฉพาะหน้า  เท่านี้ก็ได้ชื่อว่าทอดและถวายผ้าป่าแล้ว
            9.  เรื่องลอยกระทง
            การลอยกระทงตามประทีป  ถือกันเป็นประเพณีมาแต่โบราณกาลว่า  เพื่อบูชารอยพระพุทธบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำนัมมทาชมพูทวีป  เกิดนิยมขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัย  ในราวแผ่นดินพระมหาธรรมราชาลือไทยรัชการที่  หรือแผ่นดินพระมหาธรรมราชาลิไทย  รัชกาลที่  และนิยมทำกันเป็นประเพณีในวันเพ็ญเดือน  12  ซึ่งเป็นฤดูน้ำเหนือลด  เพราะปรากฏในหนังสือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์  สนมเอกของพระมหาธรรมราชาลิไทย  ธิดาของพระศรีมโหสถ  (ตำแหน่งราชครูได้เรียบเรียงเป็นเรื่องเกี่ยวด้วยราชประเพณี  12  เดือน
หมวดที่  4      ปกิณกะ
            หมวดนี้กล่าวถึง  วิธีการที่จะต้องปฏิบัติที่เป็นพิธีเบ็ดเตล็ด ในการประกอบศาสนพิธีดังกล่าวข้างต้นมาชี้แจงให้เข้าใจอีก  ประการ  คือ
1.       วิธีสวดมนต์ไหว้พระของนักเรียน
2.       วิธีไว้ครูสำหรับนักเรียน
3.       วิธีจับด้านสายสิญจน์
4.       วิธีบังสุกุลเป็น
5.       วิธีบอกศักราช
แต่ในที่นี้จะไม่ขอกล่าวในข้อ  1และ  แต่จะกล่าวในข้ออื่น 
3.  วิธีจับด้ายสายสิญจน์
        สายสิญจน์  แปลว่า  สายรดน้ำ  ปัจจุบันได้แก่สายที่ทำด้วยด้ายดิบโดยวิธจับเส้นด้ายในเข็ดสาวชักออกมาเป็นห่วง  ๆ  ให้สัมพันธ์เป็นสายเดียวกันในเข็ดเส้นเดียว  จับออกครั้งแรกเป็น  เส้นแล้วม้วนเข้ากลุ่มไว้  ถ้าต้องการให้ได้สายใหญ่ก็จับอีกครั้งหนึ่ง  จะกลายเป็น  เส้น
        ในงานมงคลใช้สายสิญจน์  เส้น  ไม่ใช้สายสิญจน์  เส้น  แต่โบราณได้จัดทำขึ้นด้วยวิธีการเรียกว่า  เสก”  คือร่ายมนต์เพื่อศักดิ์สิทธิ์
4.  วิธีบังสุกุลเป็น
        การบังสุกุลเป็น  หมายถึง  บุญกิริยาที่เจ้าภาพนิยมทำเมื่อป่วยหนัก  เป็นการกำหนดมรณานุสสติวิธีหนึ่งโดยมากเมื่อญาติ ๆ  จัดให้มีพิธีสงฆ์สวดต่อนาม  แล้วถ้าผู้ป่วยยังมีสติอยู่  มักขอให้พระสงฆ์ชักบังสุกุลเป็นตนเองด้วยแม้ผู้ป่ายไม่ไข้  เมื่ออายุย่างเข้าวัยชรา  มักปรารภสังขารของตนที่ใกล้มรณะ  ประสงค์จะบำเพ็ญบุญกิริยาให้ทันตาเห็น  มักจัดให้นิมนต์พระสงฆ์มาชักบังสุกุลเป็นตนเองก็มี
        ในการชักบังสุกุลเป็นนี้ปกติไม่มีทอดผ้าเหมือนบังสุกุลศพ  มักใช้ผ้าขาวคลุมตัวคนป่วยหรือผู้ประสงค์การนี้แล้วเอาด้ายสายสิญจน์ผูกมุมผ้าขาวที่คลุมนั้นไว้ตอนหน้า  ถวายปลายสายสิญจน์อีกข้างหนึ่งให้พระสงฆ์จับพิจารณา  ซึ่งสิ่งที่เจ้าภาพต้องเตรียมในการสวดก็คือ  ธูปเทียน   ผ้าขาวและสายสิญจน์
5.  วิธีบอกศักราช
        ในการแสดงพระธรรมเทศนาในงานบุญทุกกรณี  ยกเว้นที่แสดงตามกาลในวันธรรมสวนะ  มีนิยมให้ผู้แสดงธรรมบอกศักราช  คือบอกวัน  เดือน  ปี  ที่ถึงในวันนั้นก่อนเริ่มเทศน์  จุดประสงค์เพื่อให้ผู้ฟังธรรมทราบปฏิทินในวันนั้นว่าเป็นวันอะไร  เดือนอะไร  ปีอะไร เพราะในสมัยก่อนปฏิทินรายวันมีไม่แพร่หลายเหมือนในปัจจุบัน  จึงบอกเพื่อให้ทราบโดยทั่วกัน  ส่วนในปัจจุบันการบอกศักราชกลายเป็นธรรมเนียมไปแล้ว  โดยการบอกศักราชต้องบอกทั้งที่เป็นภาษาไทยและภาษาบาลี 
คำบอกศักราชแบบภาษาไทย(แปลมาจากบาลี)
        ศุภมัสดุ  พระพุทธศาสนายุกาล  จำเดิมแต่ปรินิพพานแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค  อรหันตสัมมาพุทธเจ้านั้น  บัดนี้ล่วงแล้ว 2545  พรรษา  ปัจจุบันสมัยตุลาคมมาส  สุรทินที่  23  วันนี้จันทรวาร  ศาสนายุกาลแห่งสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น  มีนัยอันพุทธบริษัทจะพึงกำหนดนับด้วยประการฉะนี้ฯ